Wednesday, July 20, 2016

ติดตั้ง Dspace เวอร์ชั่น 5.0 บน ระบบปฏิบัติการแบบ CentOS เวอร์ชั่น 7.2 แบบ 64 bit (NO Graphic User Interface)


[Click here to see this post in English] 


[ คำแนะนำก่อนการติดตั้ง ]
  -   ผู้ติดตั้งจำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานในการใช้งานคำสั่งต่าง ๆ บนระบบปฏิบัติการแบบ Linux รุ่น CentOS เวอร์ชั่น 7.2 แบบ 64 bit
 - ระมัดระวังในการพิมพ์คำสั่ง ตัวสะกด เว้นวรรค ตัวอักษรพิมพ์เล็ก พิมพ์ใหญ่ต่าง ๆ ซึ่งมีผลต่อความถูกต้องสำหรับการทดสอบใช้งาน

1.      จัดเตรียมไฟล์ที่จำเป็นในการติดตั้งดังต่อไปนี้:
- ไฟล์โปรแกรม apache-ant-1.8.4-bin.tar.gz
- ไฟล์โปรแกรม apache-maven-3.0.4-bin.tar.gz
- ไฟล์โปรแกรม apache-tomcat-7.0.35.tar.gz
- ไฟล์โปรแกรม dspace-5.0-src-release.zip
- ไฟล์โปรแกรม jdk-7u79-linux-x64.rpm (ควรเลือกเวอร์ชั่นแบบ 64 bit ซึ่งตรงกับรุ่นของระบบปฏิบัติการที่ติดตั้ง กรณีเลือกแบบ 32 bit มาติดตั้งอาจเกิดปัญหาต่าง ๆ ได้)
- ไฟล์โปรแกรม postgresql-9.0.17-1-linux-x64.run (ควรเลือกเวอร์ชั่นแบบ 64 bit ซึ่งตรงกับรุ่นของระบบปฏิบัติการที่ติดตั้ง กรณีเลือกแบบ 32 bit มาติดตั้งอาจเกิดปัญหาต่าง ๆ ได้)
2.      จัดเตรียมไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาแล้วจาก internet โดยคัดลอกไว้ในไดเรกทอรีชื่อ  ‘opt’ กรณีต้องการไปทำงานที่ไดเรกทอรีชื่อ opt ให้พิมพ์คำสั่ง cd /opt/  
3.      เมื่อทำงานอยู่ที่ไดเรกทอรีชื่อ opt แล้ว หากต้องการตรวจสอบรายชื่อไฟล์ที่อยู่ในไดเรกทอรี
  ให้พิมพ์คำสั่ง ls –la

4. ทำการเปลี่ยนสิทธิ์ในการเข้าถึงไฟล์ ให้กับไฟล์ jdk-7u79-linux-x64.rpm โดยใช้คำสั่ง
    chmod a+x jdk-7u79-linux-x64.rpm
5. ติดตั้งโปรแกรม ‘jdk-7u79..โดยใช้คำสั่ง sudo rpm –ivh jdk-7u79-linux-x64.rpm



      # ค่าปกติของไดเรกทอรีที่ติดตั้ง java คือ  /usr/java/jdk1.7.0_79
 6.   ทำการเปลี่ยนสิทธิ์ในการเข้าถึงไฟล์ ให้กับไฟล์ postgresql โดยใช้คำสั่ง
      chmod +x postgresql-9.0.17-1-linux-x64.run
 7.  ติดตั้งโปรแกรม postgresql โดยใช้คำสั่ง  ./postgresql-9.0.17-1-linux-x64.run
    เมื่อ run คำสั่งข้างต้นแล้ว โปรแกรมจะถามถึงตำแหน่งที่ต้องการติดตั้ง ซึ่งค่าปกติจะอยู่ที่ไดเรกทอรี         /opt/PostgreSQL/9.0   หากไม่ต้องการเปลี่ยน ให้กดปุ่ม enter ผ่านไป

 8.  ในลำดับถัดมาโปรแกรมจะถามถึงตำแหน่งที่ต้องการเก็บข้อมูลของฐานข้อมูล ซึ่งค่าปกติจะอยู่ที่      
     ไดเรกทอรี 
/opt/PostgreSQL/9.0/data  หากไม่ต้องการเปลี่ยน ให้กดปุ่ม enter ผ่านไป

 9.  ในลำดับถัดมาโปรแกรมจะให้กำหนดรหัสผ่านสำหรับผู้ใช้ในระบบชื่อ postgres  โดยให้ตั้งรหัสที่
    ต้องการ (ต้องจำให้ได้) และใส่รหัสผ่านเดิมที่ตั้งไว้อีกครั้งเพื่อยืนยัน




10. ในลำดับถัดมาโปรแกรมจะถามถึงหมายเลข port เพื่อเชื่อมต่อมายังโปรแกรมฐานข้อมูล PostgreSQL ซึ่งค่า port  ปกติคือ 5432 หากไม่ต้องการเปลี่ยน ให้กดปุ่ม enter ผ่านไป

11. ในลำดับถัดมาโปรแกรมจะถามถึงภาษาที่ต้องการเลือกใช้งาน โดยมีให้เลือกถึง 772 ลำดับ โดยค่าปกติจะอยู่ในลำดับที่ [1] คือ ภาษาอังกฤษ  หากไม่ต้องการเปลี่ยน ให้กดปุ่ม enter ผ่านไป


12. ในลำดับสุดท้ายหากต้องการติดตั้งต่อให้พิมพ์ตัวอักษร ‘Y’ และกดปุ่ม enter

13. รอสักครู่ โปรแกรมจะทำการติดตั้งและแจ้งดำเนินการเสร็จเมื่อครบ 100 %

14. ขั้นตอนถัดมา ให้แก้ไขไฟล์ชื่อ pg_hba.conf  ซึ่งอยู่ในไดเรกทอรี /opt/PostgreSQL/9.0/data  
       โดยใช้คำสั่ง

        nano /opt/PostgreSQL/9.0/data/pg_hba.conf   (nano เป็นโปรแกรม text editor ตัว
       หนึ่งที่ต้องติดตั้งต่างหาก กรณีไม่มีในเครื่อง 

        สามารถติดตั้งเพิ่มได้โดยใช้คำสั่ง yum install nano        
        แต่หากไม่ต้องการติดตั้งเพิ่ม สามารถใช้คำสั่ง vi’ ซึ่งมีอยู่แล้วในระบบ 
        หรือคำสั่ง ‘gedit’ ก็เป็นโปรแกรมอีกตัวหนึ่งที่ต้องติดตั้งเพิ่มเติมหากต้องการใช้งาน)




      เมื่อเปิดไฟล์แล้ว ให้เพิ่มข้อความดังต่อไปนี้ ไว้ภายใต้หัวข้อ
           # IPv4 local connections:
           host            all                all                127.0.0.1/32           md5
           host            dspace         dspace         127.0.0.1/32           md5
         (หมายถึง อนุญาตให้ผู้ใช้ชื่อ dspace สามารถเชื่อมต่อมายังฐานข้อมูลชื่อ dspace ในระบบ
          ได้
)

           ทำการบันทึกการตั้งค่าและออกจากโปรแกรม Text Editor

15.  ทำการ restart postgres service โดยใช้คำสั่ง
       service postgresql-9.0 restart


16. สร้างไฟล์ชื่อ ‘java.sh’ สำหรับตั้งค่าสภาพแวดล้อมการใช้งานต่าง ๆ ให้กับโปรแกรมที่ติดตั้ง  
     (
Environment Variable) ให้สามารถเรียกใช้งานได้ โดยใช้คำสั่ง

      nano /etc/profile.d/java.sh
      ทำการเพิ่มข้อความดังต่อไปนี้:
      PATH=/opt/PostgreSQL/9.0/bin:$JAVA_HOME/bin:$ANT_HOME/bin:
      $MAVEN _HOME/bin:$PATH

     ทำการบันทึกการตั้งค่าและออกจากโปรแกรม Text Editor

17. สั่งให้ไฟล์ java.sh มีผลต่อระบบและสามารถเรียกใช้งานได้ โดยใช้คำสั่ง
          source /etc/profile.d/java.sh

18. ติดตั้งโปรแกรม Apache Ant , โดยก่อนติดตั้ง สามารถตรวจสอบว่ามีโปรแกรมติดตั้งอยู่แล้วหรือไม่         โดยใช้คำสั่ง           which ant



19. เปลี่ยนตำแหน่งไดเรกทอรีที่กำลังทำงานไปยังไดเรกทอรีชื่อ ‘opt’ โดยใช้คำสั่ง   cd /opt
      และทำการแตกไฟล์โปรแกรม apache-ant โดยใช้คำสั่ง
          tar –zxvf apache-ant-1.8.4-bin.tar 



20. ที่ไดเรกทอรีชื่อ ‘opt’ ทำการแตกไฟล์โปรแกรม apache-tomcat โดยใช้คำสั่ง         tar –zxvf apache-tomcat-7.0.35.tar.gz


           
21. ที่ไดเรกทอรีชื่อ ‘opt’ ทำการแตกไฟล์โปรแกรม apache-maven โดยใช้คำสั่ง
         tar –zxvf apache-maven-3.0.4-bin.tar.gz



22. แก้ไขไฟล์ชื่อ ‘java.sh’ เพื่อตั้งค่าสภาพแวดล้อมการทำงานต่าง ๆ เพิ่มเติม 
     ให้กับโปรแกรมที่ติดตั้ง  โดยใช้คำสั่ง
          nano /etc/profile.d/java.sh
     ทำการเพิ่มข้อความดังต่อไปนี้ (หากมีข้อความในบรรทัดใดอยู่แล้ว 
     ให้สามารถข้ามไปได้ ไม่ต้องพิมพ์ซ้ำ):


JAVA_HOME=/usr/java/jdk1.7.0_79
ANT_HOME=/opt/apache-ant-1.8.4
CATALINA_HOME=/opt/apache-tomcat-7.0.35
MAVEN_HOME=/opt/apache-maven-3.0.4
PATH=/opt/PostgreSQL/9.0/bin:$JAVA_HOME/bin:$ANT_HOME/bin:
$MAVEN _HOME/bin:$PATH
export PATH JAVA_HOME ANT_HOME MAVEN_HOME
export CLASSPATH=.




    ทำการบันทึกการตั้งค่าและออกจากโปรแกรม Text Editor

23. ทำการเปลี่ยนสิทธิ์ในการเข้าถึงไฟล์ ให้กับไฟล์ชื่อ java.sh โดยใช้คำสั่ง
         chmod +x /etc/profile.d/java.sh
     และสั่งให้ไฟล์ java.sh มีผลต่อระบบและสามารถเรียกใช้งานได้ โดยใช้คำสั่ง
         source /etc/profile.d/java.sh

24.  ตรวจสอบการทำงานของโปรแกรมต่าง ๆ ภายหลังการตั้งค่าใช้งาน โดยใช้คำสั่ง
         echo $JAVA_HOME (then press enter)
         echo $CATALINA_HOME  (then press enter)
         ant –version  (then press enter)
         mvn –version  (then press enter)

          หากการตั้งค่าใช้งานมีความถูกต้อง โปรแกรมต่าง ๆ จะแสดงผลดังภาพด้านล่าง



25.  ทดลองสั่ง start การทำงานของโปรแกรม tomcat server  โดยเข้าไปยังไดเรกทอรี          CATALINA_HOME/bin   โดยใช้คำสั่ง
          cd $CATALINA_HOME/bin 
          (หากต้องการทราบตำแหน่งที่เรากำลังทำงานในปัจจุบัน 
          สามารถใช้คำสั่ง ‘pwd’ เพื่อตรวจสอบ)




       ก่อนทำการ start โปรแกรม tomcat สามารถใช้คำสั่ง ‘ls’ 
       เพื่อตรวจสอบคำสั่งต่าง ๆ ภายในโฟลเดอร์ชื่อ bin ที่สามารถเรียกใช้งานได้ 
       โดยจะมีหลายคำสั่งให้เลือกใช้งาน




      ภายใต้ไดเรกทอรี /opt/apache-tomcat-7.0.35/bin  
      หากต้องการสั่ง start ให้โปรแกรม tomcat server ทำงาน สามารถใช้คำสั่ง
          ./startup.sh

      เมื่อ enter แล้ว จะแสดงผลลัพธ์ดังภาพด้านล่าง




      หากต้องการสั่ง stop การทำงานของโปรแกรม tomcat server สามารถใช้คำสั่ง

         ./shutdown.sh

26. เตรียมติดตั้งโปรแกรม Dspace
     ลำดับแรกให้สร้างกลุ่มชื่อ dspace ในระบบ linux โดยใช้คำสั่ง
         groupadd dspace (then press enter)
     และสร้างผู้ใช้งานชื่อ dspace ในระบบ linux โดยใช้คำสั่ง
         useradd dspace –g dspace  (then press enter)


27. เปลี่ยนไดเรกทอรีการทำงานไปยังไดเรกทอรีชื่อ ‘data’ โดยใช้คำสั่ง
         cd /opt/PostgreSQL/9.0/data
     ทำการสร้างผู้ใช้งานชื่อ ‘dspace’ เพื่อใช้งานในฐานข้อมูล โดยใช้คำสั่ง
         createuser –U postgres –d –A –P dspace  (then press enter)
     ทำการตั้งรหัสผ่านให้กับผู้ใช้งานชื่อ dspace (ต้องจำให้ได้) 
     และตั้งรหัสผ่านอีกครั้งเพื่อยืนยัน
     ลำดับถัดมาให้กดปุ่ม ‘y’ เพื่อยืนยันการสร้างชื่อผู้ใช้งาน
     โปรแกรมจะถามรหัสผ่านของผู้ใช้ฐานข้อมูลชื่อ postgres 
     (ซึ่งเป็นรหัสผ่านเดียวกันกับที่ตั้งไว้ในข้อ 9. เมื่อตอนติดตั้งโปรแกรม postgreSQL)



    หากใส่รหัสผ่านไม่ถูกต้อง !! โปรแกรมจะแสดงข้อความดังภาพด้านล่าง



28. สร้างฐานข้อมูลชื่อ ‘dspace’ โดยใช้คำสั่ง
        createdb –U dspace –E UNICODE dspace
     เมื่อกด enter แล้ว ให้ใส่รหัสผ่านของผู้ใช้งานฐานข้อมูลชื่อ dspace (ซึ่งเป็นรหัสผ่านเดียวกันกับ
    ที่ตั้งไว้ในข้อ 27 ตอนสร้างผู้ใช้งานฐานข้อมูลชื่อ dspace)



29. เริ่มติดตั้งโปรแกรม โดยเปลี่ยนไดเรกทอรีการทำงานไปยังไดเรกทอรีชื่อ ‘opt’ โดยใช้คำสั่ง
        cd /opt/
     ทำการแตกไฟล์โปรแกรม dspace ที่มีนามสกุล .zip โดยใช้คำสั่ง
        unzip dspace-5.0-src-release.zip (then press enter)
     หากพบปัญหาขณะติดตั้งโดยมีข้อความแจ้งว่า:    ‘-bash: unzip: command not found’
     จะหมายถึง ไม่มีโปรแกรม unzip ในระบบ 
     ดังนั้นจำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรม unzip เพิ่มเติม โดยใช้คำสั่ง
     yum install unzip (ให้ทำตามคำแนะนำบนหน้าจอ ไปทีละขั้นตอน)
     เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว ให้เรียกใช้คำสั่ง unzip อีกครั้ง ดังนี้
     unzip dspace-5.0-src-release.zip



30. หากต้องการตรวจสอบไฟล์โปรแกรม dspace ที่แตกออกมาในโฟลเดอร์ชื่อ ‘opt’ 
     ให้ใช้คำสั่ง  ls -la



31. เปลี่ยนไดเรกทอรีการทำงานไปยัง root โดยใช้คำสั่ง  cd /
     ทำการสร้างไดเรกทอรีใหม่ ชื่อ dspace โดยใช้คำสั่ง
         mkdir dspace
     ภายหลังการสร้าง สามารถตรวจสอบรายชื่อโฟลเดอร์ที่สร้างใหม่ โดยใช้คำสั่ง  ls –la
     ซึ่งคำสั่งนี้จะแสดงชื่อผู้เป็นเจ้าของสิทธิ์ของโฟลเดอร์และไฟล์
     สำหรับโฟลเดอร์ชื่อ dspace ที่สร้างขึ้นใหม่ ผู้เป็นเจ้าของสิทธ์คือ root




     ทำการเปลี่ยนสิทธิ์ให้กับโฟลเดอร์ชื่อ dspace 
     โดยเปลี่ยนจาก root เป็นผู้ใช้งานชื่อ dspace โดยใช้คำสั่ง
          chown dspace.dspace /dspace -R
     ภายหลังการเปลี่ยน สามารถตรวจสอบสิทธิ์ของโฟลเดอร์ชื่อ dspace ได้อีกครั้ง 
     โดยใช้คำสั่ง  ls –la   จะพบว่าถูกเปลี่ยนจาก root กลายเป็น dspace




     ถัดมาทำการเปลี่ยนสิทธิ์ให้กับโฟลเดอร์ชื่อ dspace-5.0-src-release 
     โดยเปลี่ยนจาก root เป็นผู้ใช้งานชื่อ dspace โดยใช้คำสั่ง

         chown dspace.dspace /opt/dspace-5.0-src-release -R



32. เปลี่ยนชื่อผู้ใช้งานในระบบ linux จาก root เป็นชื่อ dspace โดยใช้คำสั่ง
         su dspace




     ก่อนเริ่มการติดตั้งให้แก้ไขไฟล์ config. ของโปรแกรม dspace ชื่อ dspace.cfg  โดยใช้คำสั่ง
         nano /opt/dspace-5.0-src-release/dspace/config/dspace.cfg
     แก้ไขบรรทัดที่มีข้อความด้านล่างนี้
         dspace.dir = ${dspace.install.dir} (บรรทัดนี้ให้เปลี่ยนเป็น remark 
         โดยพิมพ์  ‘#’ นำหน้าบรรทัด)
         และพิมพ์ข้อความใหม่ในบรรทัดถัดไปดังนี้:   
        dspace.dir = /dspace




      บันทึกการตั้งค่าและออกจากโปรแกรม text editor
33. เปลี่ยนไดเรกทอรีการทำงานไปยังไดเรกทอรีชื่อ dspace ใน ‘opt/ dspace-5.0-src-release’
     โดยใช้คำสั่ง
        cd /opt/dspace-5.0-src-release/dspace



      เริ่มการติดตั้งโปรแกรม dspace โดยใช้คำสั่ง
        mvn package
      จะเข้าสู่ขั้นตอนดาวน์โหลดโปรแกรม dspace เวอร์ชั่น 5.0 ผ่านทาง internet

      (จากการทดสอบใช้เวลาประมาณ 40 นาที) 



       หากติดตั้งสำเร็จจะแสดงข้อความ ‘BUILD SUCCESS’



34. เปลี่ยนไดเรกทอรีการทำงานไปยังไดเรกทอรีชื่อ ‘dspace-installer’ โดยใช้คำสั่ง
          cd /opt/dspace-5.0-src-release/dspace/target/dspace-installer



     ดำเนินการติดตั้งเพิ่มเติมโดยพิมพ์คำสั่งant fresh_install’ (ใช้เวลาเพียง 1 นาที)





       เมื่อติดตั้งสำเร็จจะแสดงข้อความ ‘BUILD SUCCESSFUL’
35. ภายหลังการติดตั้งสำเร็จ สามารถตรวจสอบข้อมูลที่ถูกติดตั้งในโฟลเดอร์ชื่อ dspaceได้ 
     โดยใช้คำสั่ง    ls –la /dspace



     จะแสดงข้อมูลของโฟลเดอร์และไฟล์ต่าง ๆ ที่ถูกติดตั้งใหม่ 
     มีสิทธ์การใช้งานเป็นของผู้ใช้งานชื่อ dspace
36. สร้างบัญชีผู้ดูแลระบบ (Administrator) ของโปรแกรม dspace โดยใช้คำสั่ง
         /dspace/bin/dspace create-administrator




          Type an E-mail address: :     [พิมพ์ชื่อ e-mail address]  (และกดปุ่ม enter)
          First name:     [พิมพ์ชื่อที่ต้องการ]  (และกดปุ่ม enter)
          Last name: :     [พิมพ์ชื่อที่ต้องการ]  (และกดปุ่ม enter)
          Password:  :     [พิมพ์รหัสผ่านที่ต้องการ]  (และกดปุ่ม enter)
          Again to confirm: :     [ยืนยันรหัสผ่านอีกครั้ง]  (และกดปุ่ม enter)
          Is the above data correct:  [พิมพ์ Y เพื่อยืนยันการสร้างข้อมูล]
37. ตั้งค่าตำแหน่งไดเรกทอรีของเว็บ dspace ให้โปรแกรม Tomcat Server สามารถเรียกใช้งาน 
     มีขั้นตอนดังนี้
               -    เปลี่ยนชื่อผู้ใช้งานระบบ linux จาก dspace เป็น root โดยพิมพ์คำสั่ง
             cd /    และพิมพ์คำสั่ง  su   แล้วพิมพ์รหัสผ่านของ root


          -    เปลี่ยนไดเรกทอรีการทำงานไปที่ ‘localhost’ โดยพิมพ์คำสั่ง

cd /opt/apache-tomcat-7.0.35/conf/Catalina/localhost


      -    สร้างไฟล์ 4 ไฟล์ ประกอบด้วยไฟล์ชื่อ jspui.xmlxmlui.xml,   oai.xml and solr.xml
ทำการสร้างทีละไฟล์  โดยพิมพ์คำสั่ง
               nano jspui.xml




      เพิ่มข้อความด้านล่างนี้ลงไปในไฟล์ jspui.xml
          <Context path=“/jspui” docBase=“/dspace/webapps/jspui” debug=“0”
         reloadable=“true” cachingAllowed=“false” crosscontext=“true” />
                แก้ไขเสร็จแล้ว ให้สั่งบันทึกและออกจากโปรแกรม text editor

          ถัดมาสร้างไฟล์ชื่อ xmlui.xml โดยพิมพ์คำสั่ง

nano xmlui.xml    




เพิ่มข้อความด้านล่างนี้ลงไปในไฟล์ xmlui.xml
<Context path=“/xmlui” docBase=“/dspace/webapps/xmlui” debug=“0”
         reloadable=“true” cachingAllowed=“false” crosscontext=“true” />

    แก้ไขเสร็จแล้ว ให้สั่งบันทึกและออกจากโปรแกรม text editor


        ถัดมาสร้างไฟล์ชื่อ oai.xml โดยพิมพ์คำสั่ง

nano oai.xml    




เพิ่มข้อความด้านล่างนี้ลงไปในไฟล์ oai.xml
<Context path=“/oai” docBase=“/dspace/webapps/oai” debug=“0”
         reloadable=“true” cachingAllowed=“false” crosscontext=“true” />
    แก้ไขเสร็จแล้ว ให้สั่งบันทึกและออกจากโปรแกรม text editor

ถัดมาสร้างไฟล์ชื่อ solr.xml โดยพิมพ์คำสั่ง

nano solr.xml


เพิ่มข้อความด้านล่างนี้ลงไปในไฟล์ solr.xml
<Context path=“/solr” docBase=“/dspace/webapps/solr” debug=“0”
         reloadable=“true” cachingAllowed=“false” crosscontext=“true” />
         แก้ไขเสร็จแล้ว ให้สั่งบันทึกและออกจากโปรแกรม text editor
38. ทำการเปลี่ยนสิทธิ์ในการเข้าถึงโฟลเดอร์และไฟล์ภายในโฟลเดอร์ชื่อ apache-tomcat-7.0.35
     ทั้งนี้สามารถตรวจสอบสิทธิ์เดิมของโฟลเดอร์ดังกล่าว ก่อนทำการเปลี่ยนแปลง โดยพิมพ์คำสั่ง
          ls –la /opt/apache-tomcat-7.0.35
      จะพบว่าสิทธิ์เดิมในการเข้าถึงโฟลเดอร์และไฟล์จะเป็นของผู้ใช้งานชื่อ  ‘root’  

        
       ดำเนินการเปลี่ยนสิทธิ์ในการเข้าถึงโฟลเดอร์และไฟล์ภายในโฟลเดอร์ชื่อ 
     apache-tomcat-7.0.35 ดังนี้         
         -    พิมพ์คำสั่ง  cd /opt  (เพื่อเปลี่ยนการทำงานไปยังไดเรกทอรีชื่อ ‘opt’)
    -    เปลี่ยนสิทธิ์ของโฟลเดอร์และไฟล์ให้เป็นผู้ใช้งานชื่อ ‘dspace’ โดยพิมพ์คำสั่ง  
  chown dspace.dspace apache-tomcat-7.0.35/ -R
        -    ตรวจสอบสิทธิ์ของโฟลเดอร์และไฟล์อีกครั้ง ภายหลังการเปลี่ยนแปลง โดยพิมพ์คำสั่ง
ls –la /opt/apache-tomcat-7.0.35 
จะพบว่าสิทธิ์ทั้งหมดถูกเปลี่ยนจากผู้ใช้งานชื่อ ‘root’ เป็น ‘dspace’


39.  เปลี่ยนชื่อผู้ใช้งานจาก root เป็น dspace โดยพิมพ์คำสั่ง
           su dspace 
       และเปลี่ยนตำแหน่งการทำงานจากไดเรกทอรีชื่อ ‘opt’ ไปที่ ‘$CATALINA_HOME/bin’ 
       โดยพิมพ์คำสั่ง
           cd $CATALINA_HOME/bin
       ทดลองสั่ง start tomcat server โดยพิมพ์คำสั่ง
          ./startup.sh   
       (หลังจากสั่ง start tomcat server ให้รอสักครู่ ไม่ถึง 1 นาที 
       เพื่อให้ tomcat server เริ่มทำงาน)


40. ทดลองเปิดหน้าเวบ browser ด้วยโปรแกรม google Chrome 
     และพิมพ์ url ชื่อhttp://localhost:8080/jspui/’  
     (หรือกรณีที่ทราบหมายเลข IP Address ของเครื่องที่ติดตั้งโปรแกรม dspace 
     สามารถเปลี่ยนจากคำ ‘localhost’ เป็นหมายเลข ip address ได้ ตัวอย่างเช่น
     ‘http:// 192.168.221.136:8080/jspui/’ ) 


ตัวอย่างด้านล่างเป็นหน้าเว็บแบบ JSPUI ซึ่งมีข้อดีคือ หน้าเว็บเป็นแบบ responsive หมายถึงเมื่อมีการย่อ ขยายหน้าจอ หน้าเว็บจะมีการปรับเปลี่ยนขนาดโดยอัตโนมัติตามประเภทอุปกรณ์เช่น หน้าจอคอมพิวเตอร์ หน้าจอโทรศัพท์มือถือ หน้าจอแทปเลต เป็นต้น




สำหรับโปรแกรม dspace ยังมีหน้าเว็บให้เลือกใช้งานอีกรูปแบบหนึ่ง เรียกว่าแบบ ‘xmlui’ โดยเรียกหน้าเว็บไปที่ url ‘http://localhost:8080/xmlui/’  (หรือจะใส่เป็นหมายเลข IP Address ของเครื่องที่ติดตั้งโปรแกรม dspace ตัวอย่างเช่นhttp://192.168.221.136:8080/xmlui/’ )
ข้อจำกัดของหน้าเว็บแบบ xmlui คือ ไม่รองรับ responsive แบบหน้าเว็บ JSPUI


41.  การตั้งค่าให้โปรแกรม tomcat server ทำงานโดยอัตโนมัติ หากมีการ restart ระบบปฏิบัติการ
      CentOS (แหล่งอ้างอิงข้อมูล
http://www.mysamplecode.com/2012/05/automatically-start-tomcat-linux-centos.html)
-    เปลี่ยนไดเรกทอรีการทำงานไปยังไดเรกทอรีชื่อ ‘init.d’ 
   โดยพิมพ์คำสั่ง   cd /etc/init.d
-    สร้างไฟล์ใหม่ชื่อ tomcat7 เพื่อใช้เป็นชื่อสำหรับเรียก service ของโปรแกรม tomcat 
   ให้ทำงานโดยพิมพ์คำสั่ง  nano tomcat7
คัดลอกข้อมูล (script) ด้านล่างนี้ไว้ในไฟล์ชื่อ ‘tomcat7’ (ซึ่งข้อมูลด้านล่าง 
ควรปรับเปลี่ยนให้มีความสัมพันธ์กัน เหมาะสม สอดคล้องกับชื่อไฟล์ 
ตำแหน่งของไดเรกทอรี ที่ถูกติดตั้งก่อนหน้านี้)


#!/bin/bash
# chkconfig: 2345 80 20
# Description: Tomcat Server basic start/shutdown script
# /etc/init.d/tomcat7 -- startup script for the Tomcat 7 servlet engine

TOMCAT_HOME=/opt/apache-tomcat-7.0.35/bin
START_TOMCAT=/opt/apache-tomcat-7.0.35/bin/startup.sh
STOP_TOMCAT=/opt/apache-tomcat-7.0.35/bin/shutdown.sh

start() {
 echo -n "Starting tomcat7: "
 cd $TOMCAT_HOME
 ${START_TOMCAT}
 echo "done."
}

stop() {
 echo -n "Shutting down tomcat7: "
 cd $TOMCAT_HOME
 ${STOP_TOMCAT}
 echo "done."
}

case "$1" in

start)
 start
 ;;

stop)
 stop
 ;;

restart)
 stop
 sleep 10
 start
 ;;

*)
 echo "Usage: $0 {start|stop|restart}"

esac

exit 0


บันทึกการตั้งค่า และออกจากโปรแกรม text editor


-          ทำการเปลี่ยนแปลงสิทธิ์ในการเข้าถึงไฟล์ชื่อ tomcat7 เพื่อให้ผู้ใช้ชื่อใดก็ได้ 
     สามารถเรียกใช้งานได้ โดยพิมพ์คำสั่ง   chmod 755 tomcat7
-          กรณีโปรแกรม ‘chkconfig’ ยังไม่ได้ถูกติดตั้งในระบบ 
     สามารถติดตั้งเพิ่มได้โดยพิมพ์คำสั่ง
 yum install chkconfig (ให้ทำตามคำแนะนำบนหน้าจอตามลำดับ)
-          เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว ให้เพิ่มไฟล์ service ชื่อ tomcat7 ไว้ในระบบ 
     โดยพิมพ์คำสั่ง    chkconfig --add tomcat7
-          ทดลองตรวจสอบการเรียกใช้งานไฟล์ tomcat7 โดยพิมพ์คำสั่ง
find . –name “*tomcat7”
              จะได้ผลลัพธ์กลับมาดังภาพด้านล่าง




-          ตรวจสอบสถานะการทำงานของไฟล์ service ชื่อ tomcat7’ 
     ที่ถูกเพิ่มในระบบ โดยพิมพ์คำสั่ง
chkconfig --list tomcat7

จะแสดงผลลัพธ์ของสถานะการทำงานไฟล์ service ชื่อ tomcat7 
ในโหมดการทำงานต่าง ๆ บนระบบ CentOS ตามค่าที่กำหนดไว้




-          ทดลองสั่ง restart ระบบปฏิบัติการ CentOS โดยพิมพ์คำสั่ง
shutdown –r now
เมื่อเข้าสู่ระบบอีกครั้ง ให้ทดลองเรียกหน้าเว็บ dspace ตาม url ก่อนหน้านี้ 
จะพบว่า สามารถเรียกใช้งานหน้าเว็บได้ทันที 
โดยไม่ต้องมาสั่ง start tomcat server ด้วยตนเอง
-          หากต้องการหยุดการทำงานของโปรแกรม tomcat server ให้พิมพ์คำสั่ง
 service tomcat7 stop

จะแสดงข้อความบนหน้าจอ.. Shutting down tomcat7:




         และหากต้องการให้โปรแกรม tomcat server ทำงานอีกครั้ง ให้พิมพ์คำสั่ง
                service tomcat7 start




ขอจบคำแนะนำการติดตั้งโปรแกรม Dspace ไว้เท่านี้ก่อนนะครับ
ครั้งถัดๆ ไป จะมาแนะนำในส่วนอื่น ๆ ต่อไปครับ
    

Keyword: install dspace 5 on windows, install dspace 5 ,ติดตั้ง dspace, install dspace, institutional repository, ir, คลังข้อมูล, คลังสารสนเทศ, คลังสถาบัน, คลังเอกสาร, ติดตั้ง dspace 5, ติดตั้งดีเสปซ, dspace 5 on windows, การใช้งาน dspace เบื้องต้น, คู่มือการใช้ dspace, dspace คู่มือ, โปรแกรม dspace, การติดตั้ง dspace, การติดตั้ง dspace 5, dspace installation on windows, dspace installation on centosdspace installation step by step, dspace 5 installation, dspace 5.0 installation

No comments:

Post a Comment